ประเด็นการบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย ยังคงเป็นประเด็นร้อนของโลกในปัจจุบัน ท่ามกลางการต่อสู้ที่กำลังยืดเยื้อ ผู้คนทั่วโลกต้องการให้มีสันติและความสงบกลับมาสู่ยูเครนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความบาดหมางของ รัสเซีย และ ยูเครน นั้นมีรากฐานมายาวนานเป็นร้อยปี พวกเขาต่อสู้กันในหลายวงการ แม้กระทั่งในเกมลูกหนัง
หนึ่งในสโมสรฟุตบอลยูเครนที่ต่อสู้กับรัสเซียมาตลอด นั่นคือ ดินาโม เคียฟ สโมสรของชาวยูเครนที่เคยครองแชมป์ลีกฟุตบอลของรัสเซียมากว่า 10 สมัย และเป็นความภูมิใจของชาวยูเครนมาเกือบร้อยปี
นี่คือเรื่องราวของสโมสรฟุตบอลที่ต่อสู้กับรัสเซียมาตั้งแต่วันแรกเริ่มและยังคงสู้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะ ดินาโม เคียฟ ไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอล แต่เป็นจิตวิญญาณของสังคมยูเครน
จุดเริ่มต้นของดินาโม เคียฟ
สโมสรดินาโม เคียฟ มีจุดกำเนิดไม่ต่างกับทีมกีฬาอื่นที่มีชื่อขึ้นต้นว่า “ดินาโม” นั่นคือเริ่มต้นมาจากโครงการที่รัฐบาลสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนในการสร้างทีมกีฬาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ชาวโซเวียตมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย เพื่อสร้างความเป็นเลิศในการเล่นกีฬา
หน่วยงานดินาโมส่วนใหญ่จะได้รับเงินทุนสนับสนุนโดยตรงจากองค์กรตำรวจลับของสหภาพโซเวียต รวมถึงทีมฟุตบอลดินาโม เคียฟ ด้วยเช่นกัน ที่มีหน่วยงานตำรวจลับประจำเมืองเคียฟเป็นผู้อุปการะค่าใช้จ่ายให้กับทีม
แม้ว่าแรงบันดาลใจของการก่อตั้งทีมจะมาจากนโยบายส่วนกลางของรัฐบาลสหภาพโซเวียต แต่ในความเป็นจริงแล้วหน่วยงานกีฬา “ดินาโม” ของเมืองเคียฟมีความเป็นเอกเทศอย่างมาก พวกเขาสามารถบริหารจัดการการพัฒนาและสร้างนักกีฬาได้ด้วยตัวเองในเขตของเมืองเคียฟ ไปจนถึงพื้นที่ของเมืองโดเนตส์ก
พูดง่าย ๆ ก็คือถึงจะเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ถ้าเป็นในแง่ของกีฬาชาวยูเครนมีอำนาจในการปกครองตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาเลือกเฉพาะคนท้องถิ่นเท่านั้นในการปลุกปั้นสรรค์สร้างให้เป็นนักกีฬาที่มีฝีมือแล้วส่งไปแข่งขันในการประลองเกมกีฬาระดับชาติ ที่ถึงจะร่วมแข่งภายใต้ชื่อของสหภาพโซเวียต แต่นักกีฬาเหล่านี้ก็เป็นความภูมิใจของชาวยูเครนในช่วงเวลานั้น และส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
สโมสรฟุตบอลดินาโม เคียฟ ก็ไม่ต่างกัน นี่คือทีมกีฬาที่ยุคเริ่มต้นนักฟุตบอลทุกคนเป็นคนจากเมืองเคียฟ ดังนั้นสโมสรแห่งนี้จึงไม่ต่างอะไรกับทีมของประชาชน เพราะไม่ใช่แค่ได้รับการสนับสนุนจากตำรวจลับ แต่หน่วยงานท้องถิ่น และสหภาพแรงงาน ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับทีมนี้
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มชาวยูเครนก็มีความอินไปกับทีมท้องถิ่นของตัวเอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ในพื้นที่ของชาวยูเครนไม่เคยมีสโมสรฟุตบอลมาก่อน นักเตะพรสวรรค์จำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานไปเล่นให้กับทีมของรัสเซีย ซึ่งเป็นความหงุดหงิดใจของชาวเคียฟที่ต้องเสียทรัพยากรดี ๆ ด้านกีฬาของท้องถิ่นไป ทั้งที่ควรจะเป็นของพวกเขา
แม้แต่ในการตั้งทีมช่วงแรกก็มีปัญหา เนื่องจากหน่วยงานดินาโมจากฝั่งรัสเซียมองว่าการให้คนยูเครนมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเองจะส่งผลเสียกับวงการกีฬาของมอสโก ทำให้ในช่วงแรกสโมสรแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะหน่วยงานดินาโมส่วนกลางยังคงไม่ยอมรับดินาโม เคียฟ ในฐานะทีมสมาชิก ทำให้สโมสรแห่งนี้แทบไม่มีเกมการแข่งขัน เพราะโดนคว่ำบาตรจากทีมฝั่งรัสเซีย
เป็นอีกครั้งที่ประเด็นทางการเมืองเข้ามามีอิทธิพลต่อกีฬา เนื่องจากในช่วงยุค 1920s (ดินาโม เคียฟ ก่อตั้งในปี 1927) ถือเป็นช่วงที่ชาวยูเครนเริ่มเรียกร้องถึงสำนึกของความเป็นชาติ “ยูเครน” จนสหภาพโซเวียตตัดสินใจเพิ่มอำนาจให้ชาวยูเครนมีอำนาจปกครองในท้องถิ่นตัวเองมากขึ้นในฐานะรัฐ “ยูเครเนียน โซเวียต” ซึ่งการมีสิทธิ์ต่อรองทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นก็เป็นการผลักดันให้ ดินาโม เคียฟ กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ฝั่งรัสเซียต้องให้การยอมรับ
ด้วยสำนึกในฐานะทีมฟุตบอลที่ติดตัว ดินาโม เคียฟ มาตั้งแต่เริ่ม ในฐานะสโมสรที่เป็นภาพแทนของการเรียกร้องอำนาจของชาวยูเครนในสหภาพโซเวียต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เคียฟจะกลายเป็นทีมกีฬาขวัญใจในพื้นที่ของชาวยูเครน
พื้นที่แสดงความยิ่งใหญ่
ถึงจะเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ชาวยูเครนไม่เคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับชาวรัสเซียหรือมีประวัติศาสตร์ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวแบบที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำทรงอำนาจของรัสเซียใช้เป็นข้ออ้างในการบุกโจมตียูเครนในตอนนี้
เพราะพื้นเพของชาวยูเครนคือชาวสลาฟตะวันออกที่เดินทางมายึดดินแดนของประเทศยูเครนในปัจจุบันคืนจากกองทัพมองโกเลียในช่วงศตวรรษที่ 13 ดังนั้นแผ่นดินยูเครนคือแผ่นดินที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ และได้กลายมาเป็นบ้านของพวกเขา
แต่เป็นจักรวรรดิรัสเซียที่เข้ามายึดแผ่นดินนี้ในช่วงศตวรรษที่ 18 และปกครองมายาวนาน ท่ามกลางความบาดหมางระหว่างชาวรัสเซียและชาวยูเครน เพราะชาวยูเครนถูกขูดเลือดขูดเนื้ออย่างหนัก จนเศรษฐกิจในพื้นที่ย่ำแย่ กลายเป็นคนชั้นสองของสังคม
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ยูเครนวางแผนจะปฏิวัติแยกตัวออกจากรัสเซีย แต่น่าเสียดายที่เป็นฝั่งรัสเซียที่ปฏิวัติตัวเองกลายเป็นสหภาพโซเวียตเสียก่อน ทำให้การแยกประเทศของชาวยูเครนไม่สัมฤทธิ์ผล และต้องอยู่ภายใต้การปกครองของชาวรัสเซียต่อไป
แม้ว่าในยุคของสหภาพโซเวียต ความสัมพันธ์ด้านการเมืองระหว่างชาวรัสเซียและชาวยูเครนจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เพราะพื้นที่ของยูเครนกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียต ทำให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวยูเครนจะต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับรัสเซีย
คนยูเครนมองตัวเองเป็นคนยูเครนอยู่เสมอ พวกเขาอาจจะเป็นคนสหภาพโซเวียตตามประเทศที่อาศัย แต่ตามความเชื่อเรื่องเชื้อชาตินั้นพวกเขาคือคนยูเครนไม่ใช่คนโซเวียต ดังนั้นจึงมีความย้อนแย้งที่ทับซ้อนกันอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับคนเชื้อสายยูเครนในสหภาพโซเวียต
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องการพื้นที่ในการแสดงออกถึงความเป็นยูเครนแม้จะอยู่ในแผ่นดินโซเวียตก็ตาม และสำหรับวงการกีฬา ไม่มีกีฬาไหนจะตอบโจทย์ไปกว่า “ฟุตบอล”
แม้ว่าในช่วงยุคสงครามเย็นยูเครนจะผลิตนักกีฬาระดับโลกออกมามากมาย แต่ไม่ว่าจะไปแข่งขันที่ไหนก็ต้องไปในนามสหภาพโซเวียต ดังนั้นคนยูเครน ณ เวลานั้นก็ภูมิใจได้ไม่เต็มปาก เพราะเหรียญรางวัลที่นักกีฬายูเครนคว้ามา โซเวียตก็เอาเครดิตทั้งหมดไปใช้ในการโปรโมตประเทศในช่วงสงครามเย็นจนหมด
ตรงกันข้ามกับ ดินาโม เคียฟ เพราะนี่คือทีมฟุตบอลที่มีแนวทางชัดเจน คือเน้นใช้คนท้องถิ่นเข้ามาเป็นบุคลากรของสโมสร ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลหรือทีมงานโค้ช ก็จะใช้งานเฉพาะคนที่เกิดในแผ่นดินยูเครนเป็นหลัก มีเพียงน้อยครั้งที่จะดึงนักเตะจากฝั่งรัสเซียมาเล่นให้กับทีม
ยุค 60s ถือเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของ ดินาโม เคียฟ กับการคว้าแชมป์ลีกของสหภาพโซเวียตได้ถึง 4 สมัย และแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีก 2 ครั้ง
ถ้าถามว่าความยิ่งใหญ่ของเคียฟในตอนนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็บอกได้เพียงว่า ดินาโม เคียฟ คือทีมแรกในประวัติศาสตร์ของลีกสูงสุดโซเวียตที่ไม่ใช่ทีมจากกรุงมอสโก ที่ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ลีก เมื่อปี 1961
นี่คือการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญว่า ชาวยูเครนไม่ใช่พลเมืองชั้นสองอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในโลกของฟุตบอล พวกเขาก็มีดีเช่นกันไม่แพ้คนรัสเซีย และสิ่งนี้ถูกแสดงให้เห็นจากความยิ่งใหญ่ในยุค 60s
ด้วยเรื่องราวดุจดั่งฮีโร่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ดินาโม เคียฟ จะเป็นทีมยอดนิยมในพื้นที่ของชาวยูเครน เพราะนี่คือสโมสรฟุตบอลเดียวที่ต่อสู้กับเสือสิงห์กระทิงแรดจากกรุงมอสโก ไม่ว่าจะเป็น สปาร์ตัก มอสโก, ซีเอสเคเอ มอสโก, ราปิด มอสโก และ ตอร์ปิโด มอสโก
“ความสำเร็จของสหภาพโซเวียตเกิดขึ้นเพราะนักเตะชาวยูเครนทั้งนั้นแหละ พวกรัสเซียไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก” เซอร์เกย์ โควาเล็ต อดีตนักฟุตบอลของยูเครน กล่าว
เคียฟ ปะทะ มอสโกว
หากคุณคิดว่าสงครามระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน มาเปิดฉากกันในศตวรรษที่ 21 นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้นับสงครามในสนามฟุตบอลลงไปด้วย
ด้วยความยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาของ ดินาโม เคียฟ ทำให้ทีมฟุตบอลในกรุงมอสโกต่างตั้งเป้าหมายที่จะล้มทีมพวกยูเครนลงให้ได้ แต่ไม่มีทีมไหนจะจริงจังไปกว่า สปาร์ตัก มอสโก
เพราะ สปาร์ตัก มอสโก คือทีมอันดับ 1 ของชาวรัสเซียในยุคสหภาพโซเวียต ในช่วงยุค 50s สโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 4 สมัย แต่พอเข้าสู่ยุค 60s กลับลดเหลือแค่ 2 สมัย เพราะโดนทีมแกร่งจากเคียฟมาแย่งชิงไปหมด
ความบาดหมางของทั้งสองทีมจึงเปรียบเสมือนการแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างยูเครนกับรัสเซียในโลกฟุตบอลแบบกลาย ๆ แข้งทั้งสองทีมใส่กันเต็มที่ไม่มียั้ง เพราะไม่มีใครอยากจะพ่ายแพ้ให้อีกฝ่าย
แม้ว่าในยุค 60s ทั้งสองทีมจะสู้กันอย่างหนักเพื่อแย่งชิงความสำเร็จ แต่ความบาดหมางจริง ๆ กลับมาเกิดขึ้นในยุค 70s จากความรุ่งเรืองของ ดินาโม เคียฟ และความตกต่ำของ สปาร์ตัก มอสโก
ดินาโม เคียฟ ยังคงความยิ่งใหญ่ไว้ด้วยการคว้าแชมป์ลีกโซเวียตอีก 4 ครั้งในยุค 70s แถมยังสร้างยอดนักเตะขึ้นมาประดับวงการมากมาย โดยเฉพาะ โอเล็ก บลอคลิน เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ปี 1975 ที่แม้จะรับรางวัลในฐานะนักเตะของสหภาพโซเวียต ณ เวลานั้น แต่ปัจจุบันเขาได้รับการยอมรับในฐานะนักเตะยูเครนคนแรกที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ รัสเซียไม่มีสิทธิ์มาเคลมความสำเร็จของแข้งรายนี้อีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม สปาร์ตัก มอสโก ได้ครองแชมป์แค่สมัยเดียวเท่านั้น แถมยังตกชั้นจากลีกสูงสุดไปหนึ่งรอบเมื่อปี 1976 และทีมที่เตะพวกเขาร่วงจากลีกสูงสุดก็ไม่ใช่ทีมไหนนอกจาก ดินาโม เคียฟ ที่เปิดบ้านถล่มสปาร์ตัค 3-1 ส่งทีมของผู้มาเยือนกลับบ้านไปพร้อมกับการตกชั้น
แม้จะไม่ใช่คู่แข่งแย่งแชมป์กันโดยตรง แต่ยุค 70s กลายเป็นยุคทองของการต่อสู้ผ่านสนามฟุตบอลระหว่าง ยูเครน และ รัสเซีย ไม่มีเกมการแข่งขันไหนจะได้รับความสนใจจากสื่อและแฟนบอลมากไปกว่าเกมการแข่งขันคู่นี้ นี่คือเกมการแข่งขันที่ขายตั๋วได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกโซเวียต ข้ามหน้าข้ามตาดาร์บี้แมตช์เก่าแก่ของกรุงมอสโก อย่าง สปาร์ตัก มอสโก กับ ดินาโม มอสโก ไปแบบไม่เห็นฝุ่น
เพราะนี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างคนรัสเซีย แต่มันคือการต่อสู้ของคนรัสเซียและคนยูเครน เพื่อนร่วมชาติที่ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกันแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามชาวยูเครนถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่าฝั่งของรัสเซียพอสมควร ซึ่งถือเป็นกำลังใจชั้นดีให้กับพวกเขาในการใช้ชีวิตอยู่ในรัฐที่โหดร้ายและมองพวกเขาเป็นพลเมืองชั้น 2 มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากในยุค 70s เศรษฐกิจของโซเวียตก็ตกต่ำลงอีกครั้ง และชาวยูเครนก็ต้องมาถูกขูดเลือดขูดเนื้อ จนต้องมาพบกับความยากจนในชีวิตกันอีกรอบ
เมื่อเข้าสู่ยุค 80s วงการฟุตบอลโซเวียตได้รับอิทธิพลการสร้างวัฒนธรรมกองเชียร์มาจากฝั่งตะวันตกอย่างเต็มตัว และหนึ่งในผู้บุกเบิกก็คือแฟนบอลของดินาโม เคียฟ
ถึงแม้ว่าคาแร็กเตอร์ของแฟนบอลเคียฟจะไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่นักในการเป็นกองเชียร์ขวาจัด แถมคลั่งชาติยูเครนอย่างหนัก จนสร้างความเดือดร้อนให้รัฐและตำรวจไม่น้อยในปัจจุบัน
แต่ถ้าหากดูจากต้นตอก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย เนื่องจากแฟนบอลดินาโม เคียฟ นั้นได้สร้างตัวตนขึ้นมาจากความเกลียดชังที่มีต่อสหภาพโซเวียตซึ่งอยู่ในใจพวกเขามาอย่างยาวนาน
แฟนบอลเคียฟกลายเป็นพวกขวาจัด เพราะพวกเขาต่อต้านแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นรากฐานของสหภาพโซเวียต (แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะเป็นเผด็จการและไม่ได้เป็นรัฐสังคมนิยมฝ่ายซ้ายก็ตาม) ขณะเดียวกันคาแร็กเตอร์ของความเป็นชาตินิยมของชาวยูเครนก็สุดโต่ง และทั้งหมดนี้มันถูกสร้างมาจากการไร้เอกราชของแฟนบอลเคียฟสมัยที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต
ถึงการกระทำของแฟนบอลเคียฟในยุคปัจจุบันจะเน้นชื่อเสียมากกว่าสร้างชื่อเสียง แต่ในยุค 80s พวกเขามีบทบาทสำคัญในการร่วมขบวนการปลดแอกยูเครนจากสหภาพโซเวียตในยุคที่สหภาพโซเวียตอ่อนแอและใกล้ล่มสลาย
แม้แต่ในปัจจุบัน ทุกวันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของประเทศยูเครน กลุ่มแฟนบอล ของทีมดินาโม เคียฟ จะมีส่วนร่วมในการเดินขบวนและเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของประเทศอยู่เสมอ
ภาพในยุคหลังของดินาโม เคียฟ จึงชัดเจนกว่ายุคก่อน เพราะแฟนบอลของทีมจะเป็นตัวแสดงถึงความภูมิใจในความเป็นยูเครน และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ผ่านเกมลูกหนัง
แม้ว่าในยุคที่ยูเครนแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต แต่ความเป็นสโมสรแห่งยูเครนของเคียฟก็ไม่เคยหายไปไหน เพราะแฟนบอลของเคียฟไปสร้างคู่ปรับใหม่เป็น ชัคตาร์ โดเนตสก์ สโมสรเพื่อนร่วมชาติที่ชาวเมืองเคียฟมองว่าเป็นทีมของพวกนิยมรัสเซีย
แม้ว่าในความเป็นจริง ชัคตาร์ โดเนตสก์ จะไม่ได้โปรรัสเซียและเป็นฝั่งเคียฟที่ทึกทักหาเรื่องไปเอง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ดินาโม เคียฟ คือสโมสรฟุตบอลของคนยูเครนทุกคนที่เกลียดรัสเซีย และต้องการประกาศให้โลกเห็นว่ายูเครนไม่เคยยิ่งใหญ่น้อยไปกว่ารัสเซียในสนามฟุตบอลเลย
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ดินาโม เคียฟ ก็เป็นสโมสรฟุตบอลที่เป็นตัวแทนของชาวยูเครน รวมถึงเป็นทีมฟุตบอลที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับรัสเซียเสมอ
แม้แต่ในวันนี้ที่ฟุตบอลไม่ได้ทำการแข่งขันในยูเครน เพราะภัยจากการต่อสู้ทางทหาร ดินาโม เคียฟ ก็ปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นองค์กรหนึ่งที่ช่วยเหลือประเทศยูเครนในการต่อสู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งการประชาสัมพันธ์ข่าว, การแสดงจุดยืนของสโมสรในการต่อต้านสงคราม ไปจนถึงส่วนของแฟนบอลที่รวมตัวกันไปเป็นทหารอาสาสมัครปกป้องประเทศ
นี่คือเรื่องราวของ ดินาโม เคียฟ สโมสรที่เป็นมากกว่าทีมฟุตบอล แต่เป็นจิตวิญญาณของยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซียมายาวนานเกือบร้อยปี และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป